ความรู้เกี่ยวกับชนิดกระจก

ประเภทของกระจก

1.กระจกธรรมดา(Float Glass)

2.กระจกอบความร้อน(Heat Treated Glass)

3.กระจกเครือบผิวหรือกระจกสะท้อนแสง(Surface Coated Glass)

4.กระจกดัดแปลง(Processed Glass)

 

1. กระจกโฟลต (Float Glass)

เป็นกระจกมาตรฐาน ใช้ในการประกอบเป็นประตู หน้าต่างอลูมิเนียม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1.1 กระจกโฟลตใส

เป็นกระจกที่เกิดจากการหลอมแร่ให้เป็นของเหลว แล้วไหลลอยไปบนผิวดีบุกหลอมเหลว 

หลังจากนั้นปล่อยให้เย็นตัวลง ทำให้กระจกมีผิวเรียบทั้งสองด้าน สามารถมองผ่านได้ชัดเจน และให้ภาพสะท้อนสมบูรณ์

มีความแข็งแรงน้อย มีความใสสว่างมาก มองเห็นได้จากภายนอก กระจกประเภทนี้จึงเหมาะจะใช้เป็นกระจกภายในคอนโดมากกว่าภายนอก

 

1.2 กระจกโฟลตตัดแสง

เป็นกระจกโฟลตใสที่นำมาเติมโลหะเพิ่ม ทำให้กลายเป็นสี เช่น สีชา สีฟ้า สีเขียว เป็นต้น 

เนื้อกระจกที่ทำการเติมโลหะเข้าไปจึงทำหน้าที่ดูดความร้อน เป็นตัวช่วยกรองแสงและกันความร้อนได้ดีในระดับหนึ่ง 

กระจกประเภทนี้จึงเหมาะจะใช้เป็นกระจกภายนอก เพื่อช่วยลดความร้อน แถมยังทำให้แสงสว่างดูนุ่มนวลสบายตามากยิ่งขึ้น 

 

ส่วนข้อแนะนำในการติดตั้งไม่ควรให้กระจกโดนลมจากเครื่องปรับอากาศโดยตรงจะทำให้กระจกสูญเสียพลังงาน 

นอกจากนี้ไม่ควรติดม่านทึบ หรือวางขอใกล้กระจกมากเกินไป เพราะกระจกจะไท่สามารถคายความร้อน จนเป็นสาเหตุทำให้กระจกแตกร้าวได้ 

 

กระจกอบความร้อน (Heat Treated Glass)

กระจกอบความร้อนหรือกระจกสีที่นำไปผ่านกระบวนการปรับแต่งคุณภาพของเนื้อกระจก 

เพื่อให้มีความเข็งแกร่งมากขึ้น หรือรับ แรงกระทำจากแรงภายนอกได้มากขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดดังนี้

1) กระจกนิรภัยเทมเปอร์(Tempered Glass)

กระจกนิรภัยเทมเปอร์ เป็นการนำกระจกไปผ่านกระบวนการเทมเปอริง (Tempering) เพื่อเพิ่มความแข็งแรง 

โดยใช้หลักการเดียว กับการทำคอนกรีตอัดแรง คือสร้างให้เกิดชั้นของแรงอัดขึ้นที่ผิวแก้วเพื่อตต้านแรงจากภายนอก 

วิธีการนี้ทำได้โดยการให้ความร้อนกับกระจกที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดอ่อนตัวของแก้วเล็กน้อยที่ประมาณ 650-700องศาเซลเซียส 

และทำให้ผิวกระจกเกิดความเย็นตัวอย่างรวดเร็ว โดยใช้ลมเย็นเป่า ผลของความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างผิวนอก

กับส่วนกลางของแผ่นกระจกจะทำให้เกิดชั้นของแรงอัดขึ้นที่ผิวของกระจกทั้ง 2 ด้าน

โดยจะประกบชั้นส่วนกลางเหมือนลักษณะแซนวิช และชั้นที่ผิวนี้ จะต้านแรงจากภาย

นอกทำให้กระจกที่ผ่านกระบวนการเทมเปอริงแล้วมีความแข็งแรงขึ้นประมาน 4 เท่า

คุณสมบัติ

1)ค่าความแข็งแรงต่อแรงดึงและแรงที่ทำให้หักงอ (Bending Strenth) เมื่อเปรียบเทียบกระจกธรรมดากับกระจกนิรภัยเทมเปอร์ที่

มีความหนา 5 มิลลิเมตร กระจกธรรมดามีค่าความแข็งแรงต่อแรงดึงและแรงที่ทำให้กระจกหักงอ 500-650กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร 

ในกระจกนิรภัยเทมเปอร์มีค่าสูงถึง1,500 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร

 

2)การต้านทานน้ำหนัก (Loading Resistance) คือความต้านทานต่อแรงดันและแรงกระแทกโดยแบ่งออกเป็น

-การด้านทานน้ำหนักหรือสถิติ (Static Load Resistance) คือแรงที่มากระทบกระจก กระจกนิภัยเทมเปอร์สามารถทนต่อแรง

กระทบ ได้มากกว่ากระจกธรรมดาที่มีความหนาเดียวกันประมาณ 3-5 เท่า

-การต้านทานน้ำหนักกระแทก (Impact Load Resistance) คือความทนทานของกระจกต่อแรงกระแทกโดยทั่วไป

กระจกนิภัยเทมเปอร์ สามารถรับแรงกระแทกได้ดีได้ดีกว่ากระจกธรรมดาประมาณ 4 เท่า

3)ความปลอดภัยคือ การลดอันตรายที่จะเกิดจากการโดนกระจกบาด เพราะการแตกของกระจกนิภัย จะแตกออกเป็นเม็ดเล็กๆและมีความคมน้อย

 

4)การต้านทานความร้อน (Heat Resistance) คือความทนทานของกระจกต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิแบบทันทีทันใด

จากการทดสอบความสามารถในการต้านทานความร้อนของกระจกนิภัยเทมเปอร์เปรียบเทียบกับกระจกธรรมดาที่มีความหนา 5 มิลเมตรเท่ากัน

มีผลการทดสสอบดังต่อไปนี้

-กระจกนิภัยเทมเปอร์ สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ที่ค่าความแตกต่างของอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 170 องศาเซลเซียส 

และจะเริ่มแตกทั้งหมดเมื่ออุณหภูมิสูงถึงประมาณ 220 องศาเซลเซืยส

 

-กระจกธรรมดาสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ที่ค่าความแตกต่างของอุณหภูมิเพียงประมาณ 60 องศาเซลเซียส

และจะแตกทั้งหมดเมื่อค่าความแตกเมื่อค่าของอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงประมาณ 100 องศาเซลเซียส

 

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)จุดอ่อนของกระจกนิรภัยเทมเปอร์คือ แรงที่กระทำเป็นจุด หากมีการกระแทกโดยวัตถุที่มีมุมแหลม ซึ่งทำให้เกิดการตัดลึกเข้า

ไปภายในผิวกระจก ทำให้ชั้นแรงอัดถูกทำลาย ความสมดุลภายในเนื้อกระจกก็จะถูกทำลาย

 

2)กระจกนิรภัยเทมเปอร์สามารถคงรูปร่างได้ด้วยความสมดุลของแรงอัดและแรงดึง ดังนั้นเมื่อนำกระจกชนิดนี้มาใช้งานจะต้อง

ไม่มีการเจาะรู บากหรือตัดแต่งในภายหลังโดยเด็ดขาด

3)ส่วนของกระจกนิภัยเทมเปอร์ที่มีการเจาะรู พ่นทราย หรือทำเครื่องหมายใดๆจะมีความเปราะบางมากกว่าส่วนอื่นๆ

4)ไม่ควรยึดกระจกกับโลหะโดยตรง ควรมียางหรือวัตถุอื่นมารองรับ

5)ผิวกระจกนิรภัยเทมเปอร์จะเป็นคลื่นมากกว่ากระจกธรรมดา

 

กระจกฮีตสเตรงเทน (Heat Strengthen Glass)

กระจกฮีตสเตรงเทน เป็นกระจกที่ได้จากกระบวนการผลิตที่คล้ายกับกระจกนิภัยเทมเปอร์ แต่ต่างกันที่กระจกฮีตสเตรงเทน

จะปล่อยให้กระจกเย็นตัวลงอย่างช้าๆ จึงมีความแข็งแรงกว่ากระจกนิภัยเทมเปอร์

 

คุณสมบัติ

1)เป็นกระจกกึ่งนิรภัย มีคุณสมบัติพิเศษคือ แข็งแกร่งกว่ากระจกธรรมดาประมาณ 2 เท่า

2)เหมาะสำหรับการป้องกันการแตกของกระจกจากความร้อน

3)ลักษณะการแตกของกระจกชนิดนี้ จะแตกเป็นแผ่นเหมือนกระจกธรรมดา

 

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)ในการติดตั้งกระจกกับโครงสร้างอาคารสูงสามารถใช้แทนกระจกธรรมดาโดยลดความหนาของกระจกลง

2)ใช้กับสถานที่ที่ต้องเผชิญกับภาวะที่มีความร้อนสูงกว่าปกติ

3)ใช้กับผนังอาคารและหน้าต่างที่มีแรงอัดลมสูง

4)ใช้กับสถานที่ที่ต้องการใช้กระจกที่มีความแข็งแรงและปลอดภัยสูงกว่าการใช้กระจกธรรมดา

5)ใช้กับห้องโชว์ หรือตู้โชว์สินค้าที่ต้องทนต่อแรงกระแทกในการใช้งาน

 

กระจกเคลือบผิว (Surface Coated Glass)

ตารางแสดงคุณสมบัติเปรียบเทียบระหว่างกระจกเคลือบผิวที่ใช้กรรมวิธีในการเคลือบโลหะออกไซด์

กระบวนการเคลือบแบบสูญญากาศ  

-เป็นกระบวนการเคลือบกระจกแบบออฟไลน์(off-line)แยกจากกระบวนการผลิตกระจกแผ่น

-ในกรณีที่ต้องการทำเป็นกระจกนิรภัยเทมเปอร์หรือ กระจกฮีตสเตรงเทนต้องทำก่อนที่จะนำกระจกไปเคลือบ

-สีของกระจกเคลือบมีให้เลือกมากมาย เนื่องจากโลหะออกไซด์ที่ใช้เคลือบมีมากชนิด

-การติดตั้งควรนำด้านที่เคลือบไว้ในตัวอาคาร-ทนต่อรอยขีดข่วนได้น้อยกว่า

-อายุการจัดเก็บกระจกสั้นกว่า

กระบวนการเคลือบแบบไพโรลิทิค

-เป็นการเคลือบกระจกแบบออนไลน์(on-line)ทำการเคลือบกระจกอยู่ภายในกระบวนการผลิตกระจกแผ่น

-สามารถนำกระจกที่เคลือบแล้วไปผ่านกระบวนการผลิตกระจกนิรภัยเทมเปอร์หรือกระจกฮีตสเตรงเทนได้

-สีของกระจกมีให้เลือกน้อยเนื่องจากโลหะออกไซด์มีจำกัด

-การติดตั้งสามารถนำด้านที่เคลือบออกภายนอก หรือหันหน้าเข้าด้านไหนก็ได้

-ความทนต่อรอยขีดข่วนมากกว่า

คุณสมบัติของกระจกเคลือบผิวกับการประหยัดผลังงาน

1)กระจกที่เลือกใช้ ควรให้มีค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อน และความร้อนที่ได้รับจากการสะท้อนแสง

 รวมทั้งค่าสัมประสิทธิ์การบังแดดที่น้อยที่สุดที่สามารถยอมรับได้

2)กระจกเคลือบผิวที่มีปริมาณการสะท้อนแสงสูงกว่า จะสามารถประหยัดพลังงานได้ดีกว่ากระจกที่มีปริมาณการสะท้อนแสงน้อยกว่า

วิธีการตรวจสอบคุณภาพของกระจกเคลือบผิว

1)ตรวจสอบรูบนผิวกระจกเคลือบ การตรวจสอบต้องให้กระจกที่จะตรวจสอบอยู่ห่างจากจุดสังเกต 1.80 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์

กลางของรูบนผิวเคลือบจะต้องมีขนาดไม่ใหญ่กว่า 1.50 มิลลิเมตร ในกรณีที่เป็นกลุ่มของรูบนผิวเคลือบที่มีขนาดเล็กกว่าที่กำหนด

อาจยอมให้มีได้ แต่ต้องไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดจากระยะสังเกตที่กำหนดไว้

2)การตรวจสอบการสะท้อนแสงและการส่งผ่านของแสง

-ความสม่ำเสมอของผิวเคลือบ การตรวจสอบจะต้องให้กระจกที่ทำการตรวจสอบอยู่ห่างจากผู้สังเกต 3 เมตร ตามมาตรฐานยอม

ให้มีความไม่สม่ำเสมอของผิวเคลือบได้บ้าง

-การเป็นคลื่นบนผิวสะท้อนสืบเนื่องจากปัจจัยหลายประการโดยเฉพาะกระจกเคลือบผิวที่เป็นกระจกฉนวนกันความร้อน กระจก

ฮีตสเตรงเทนและกระจกนิภัยเทมเปอร์ การเป็นคลื่นอันเกิดจากการมองเห็นจะไม่ถือว่าเป็นตำหนิของกระจก

 

วิธีตรวจสอบด้านเคลือบของกระจกเคลือบผิว

สำหรับวิธีการตรวจสอบว่าด้านใดของกระจกเคลือบผิวเป็นด้านที่เคลือบฟิล์มสามารถทำได้ดังนี้

1)ใช้วัสดุทึบแสงวางทำมุมเฉียงประมาณ 45 องศา บนผิวกระจก

2)สังเกตเงาที่เกิดขึ้นบนกระจกเคลือบผิว ถ้าวัตถุทึบแสงปรากฎเงาที่เห็นเป็นเงาเดียวจะเป็นด้านที่เคลือบสารสะท้อนรังสีอาทิตย์

ถ้าเงาที่เห็นเป็นสองเงาจะเป็นด้านที่ไม่ได้เคลือบ

 

กระจกเคลือบผิว แบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์ และกระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ

กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์ (Solar Reflective Glass)

 

กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์เป็นกระจกธรรมดาที่เคลือบด้วยโลหะออกไซด์ มีค่าการสะท้อนแสงค่อนข้างสูง ความโปร่งแสงค่อน

ข้างน้อย มีสีสันสวยงามหลายสีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเคลือบ และสีของกระจกที่เป็นวัตถุดิบที่นำมาเคลือบ

 

คุณสมบัติ

1) ทำให้แสงอาทิตย์และรังสีความร้อนผ่านเข้ามาในอาคารได้น้อย

2)ช่วยลดแสงที่แรงจ้าให้นุ่มนวลลง ทำให้เกิดความสบายตา

3)สร้างความเป็นส่วนตัวแก่คนภายในอาคาร เนื่องจากมองทะลุเข้ามาในตัวอาคารได้ลำบาก

 

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)ในการตัดกระจกควรมีการป้องกันผิวด้านที่เคลือบไว้เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน

2)เมื่อมีการบิ่นหรือแตกบริเวณขอบกระจกให้ลบคมให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการแตกทั้งแผ่น

3)ป้องกันอย่าให้ซีเมนต์หรือปลาสเตอร์ติดบนกระจก เพราะจะทำอันตรายวัสดุเคลือบของกระจก

4)ด้านที่เคลือบวัสดุเคลือบควรอยู่ด้านในของอาคารเสมอ เพื่อไม่ให้วัสดุเคลือบสัมผัสมลภาวะภายนอก

5)อย่าเป่าความเย็นลงบนกระจกวางตู้ใกล้กระจกติดกระดาษหรือทาสีลงบนกระจกเพราะจะทำให้เกืดการแตกหักเนื่องจากการ

เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ 

6)ควรจะอบฮีตสเตรงเทนหรือเทมเปอร์ เพื่อป้องกันปัญหาการแตกหักเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้

 

กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ

กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ เป็นกระจกเคลือบสารโลหะโดยมีโลหะเงินบริสุทธิ์เป็นองค์ประกอบสำคัญ

คุณสมบัติ

1)ป้องกันการถ่ายเทความร้อนผ่านกระจกได้ดี

2)ยอมให้แสงผ่านได้มากกว่ากระจกสะท้อนแสง

3)ช่วยสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลต(UV)ได้บางส่วน ปริมาณการสะท้อนขึ้นอยู่กับผู่ผลิต ทำให้ลดความเสียหาย

 ซึ่งอาจเกิดกับพรมและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆได้ระดับหนึ่ง

4)ช่วยลดความจ้าของแสง

 

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)สารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำเป็นสารที่ไวต่อการเสียหาย ดังนั้นจึงไม่ควรหันผิวกระจกด้านที่ฉาบนี้ไว้ด้านนอก

2)การบรรจุกาซเฉื่อยในช่องว่างระหว่างกระจกของกระจกรุ่นใหม่ๆแทนการใช้อากาศแห้ง จะช่วยเพิ่มความเป็นฉนวนให้กับกระจกได้ดี

 

กระจกดัดแปลง (Processed Glass)

กระจกดัดแปลงเป็นกระจกที่นำมาดัดแปลงด้วยกระบวนการต่างๆเพื่อตอบสนองการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่

 

1.กระจกฉนวนกันความร้อน (Insulated Glass)

กระจกฉนวนกันความร้อนผลิตโดยการนำกระจกอย่างน้อย 2 แผ่น ตัดให้ได้ขนาดตามต้องการมาประกบกันโดยมีอลูมิเนียมซึ่ง

บรรจุสารดูดซึมความชื้นคั่นกลาง หลังจากนั้นจะปิดรอยที่ขอบกระจก ผลก็คือ อากาศภายในช่องระหว่างกระจกจะกลายเป็นอากาศที่แห้งไม่มีความชื้นเหลืออยู่ 

ซึ่งมีคุณสมบัติในการกันความร้อน

 

คุณสมบัติ

1)ป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกเข้ามาในอาคาร ทำให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศ

2)ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกอาคารได้ดีกว่ากระจกธรรมดา

3)สามารถปรับแรงดันลมได้เพิ่มขึ้น

4)ให้ความปลอดภัยในอาคารในกรณีที่ใช้กระจกนิภัยเทมเปอร์ หรือกระจกนิรภัยหลายชั้นมาผลิตเป็นกระจกฉนวนกันความร้อน

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)ควรใช้ซิริโคนสำหรับกระจกที่เป็นโครงสร้างเท่านั้น ส่วนกระจกที่เป็นช่องหน้าต่างแบบดั้งเดิม สามารถใช้โพลีซัลไฟด์ซิลิโคนได้

2)การหักงอของอลูมิเนียมสเปเซอร์ หรือสารเคมีที่ใช้ในการเชื่อมต่อกระจก มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของกระจกทั้งสิ้น

 

2.กระจกฮีตมิเรอร์ (Heat Mirror)

ลักษณะของกระจกฮีตมิเรอร์เป็นระบบของกระจกสองชั้นที่เคลือบสารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำทั้ง 2 ด้านของฟิล์มที่อยู่ระหว่าาง

ช่องอากาศ โดยที่ช่องว่างอากาศทั้งสองข้างจะกลายเป็นช่องว่างอากาศสะท้อนรังสี

คุณสมบัติ

1)สามารถสะท้อนความร้อนออกไปจากกระจกได้มากถึงประมาณ 80% หรือยอมให้ความร้อนส่งผ่านเข้ามาเพียง 10% 

ที่เหลืออยู่ 10% จะถูกดูดกลืนเข้าไปในกระจก

 

2)ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้องค์ประกอบของกระจกและฟิล์ม

3)ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต โดยสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลตประมาณ 98%

 

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)ต้องระวังไม่ให้วัสดุยาแนวเกิดความเสียหาย มิฉะนั้นความชื้นอาจแทรกซึมเข้าไปทำให้กระจกเสื่อมประสิทธิภาพได้

2)ในการติดตั้งระมัดระวังผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต เนื่องจากจะทำให้วัสดุยาแนวเสื่อมสภาพได้

3)ไม่สามารถปรับแต่งขนาดของกระจกภายหลังประกอบได้ ดังนั้นจะต้องวัดและตัดให้ได้ขนาดตรงกับการนำไปใช้เท่านั้น

4)การติดตั้งควรระมัดระวังไม่หันกระจกผิดด้านเพราะจะทำให้คุณสมบัติของกระจกต่ำลง

 

กระจกฮีตสต็อป(Heat Stop)

กระจกฮีตสต็อปมีลักษณะเป็นกระจกสองชั้นประกอบขึ้นด้วยกระจกสะท้อนแสงที่เคลือบด้วยสารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ

เป็นกระจกด้านนอก และด้านในใช้กระจกใส สารที่เคลือบนั้น สามารถป้องกันความร้อนอินฟาเรดให้ผ่านเข้ามาได้เพียง 5% 

ช่องว่างตรงกลางใส่ก๊าซอาร์กอน

คุณสมบัติ

1)สามารถสะท้อนความร้อนออกไปจากกระจกได้มาก

2)ยอมให้แสงสว่างผ่านกระจกเข้ามามากถึงประมาณ 60% 

3)ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต โดยสะท้อนรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้ประมาณ 95 %

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 

1)ต้องระวังไม่ให้วัสดุยาแนวเกิดความเสียหาย มิฉะนั้นความชื้นอาจแทรกซึมเข้าไปทำให้กระจกเสื่อมประสิทธิภาพได้

2)ไม่สามารถปรับแต่งขนาดของกระจกภายหลังประกอบได้

3)การติดตั้งไม่ควรหันกระจกผิดด้านเพราะจะทำให้คุณสมบัติของกระจกต่ำลง

4.กระจกนิรภัยหลายชั้นเป็นการนำกระจกตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไป มาผนึกเข้าด้วยกัน โดยมีแผ่นฟิล์มโพลีไวนิลนิวทิเรต 

ที่เหนียวและแข็งแรงซ้อนอยู่ระหว่างกลาง ทำหน้าที่ยึดกระจกให้ติดกัน เมื่อกระจกชนิดนี้ถูกกระแทกจนแตก 

แผ่นฟิล์มโพลีไวนิลบิวทิเรตจะช่วยยึดไม่ให้เศษกระจกหลุดกระจาย จะมีเพียงรอยแตกหรือรอยร้าวคล้ายใยแมงมุมเท่านั้น

คุณสมบัติ

1)การใช้กระจกนิรภัยหลายชั้น สามารถช่วยลดการบาดเจ็บจากกระจกได้

2)ป้องกันการทะลุทะลวง เนื่องจากการแตกและการบุกรุกได้

3)ช่วยลดเสียงรบกวน และลดการก้องของเสียงได้ดี

4)ช่วยในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ

5)แผ่นฟิล์มในกระจกนิรภัยหลายชั้นช่วยในการลดรังสีอัลตราไวโอเลต

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)เนื่องจากฟิล์มโพลีไวนิลบิวทิเลต มีคุณสมบัตในการอมความร้อน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาการแตกร้าว 

เนื่องจากการสะสมความร้อน จึงไม่ควรเลือกกระจกต่อไปนี้เข้ามาผนึกเข้าด้วยกัน

-กระจกสีตัดแสงผนึกกับกระจกสีตัดแสง

-กระจกสีตัดแสงเสริมลวดผนึกกับกระจกแผ่นเรียบ

-กระจกสะท้อนแสงผนึกกับกระจกเสริมลวด

2)มีความแข็งแรงต่อแรงอัดของลมน้อยกว่ากระจกธรรมดาที่ความหนาเท่ากัน

3)เมื่อนำกระจกนิภัยเทมเปอร์มาผนึกเข้าด้วยกันควรใช้แผ่นฟิล์มที่ความหนาไม่ต่ำกว่า 0.7 มิลิเมตรเป็นตัวยึดกระจก เพื่อป้อง

กันการเกิดฟองอากาศเนื่องจากผิวกระจกไม่เรียบ

4)ไม่ควรใช้วัสดุยาแนวชนิดซิลิคอน ออกไซด์ หรือวัสดุยาแนวที่มี่สวนผสมของสารละลายอืนทรีย์เนื่องจากจะทำให้เกิดผลเสียต่อฟิล์ม

5) ควรมีการเคลือสารกันน้ำ บริเวรขอบกระจก เพื่อป้องกันความเสียหายของแผ่นฟิล์ม

6)เมื่ออุณหภูมิของกระจกนิภัยหลายชั้นเพิ่มสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่งคือ 170 องศาฟาเรนไฮต์ การสะสมความร้อนภายในจะสูงขึ้น

ความสามารถของฟิล์มในการยึดเกาะกระจกจะลดลง

 

กระจกอื่นๆ

1.กระจกเงา(Mirror)

กระจกเงาที่ดีควรผลิตจากกระจกใส และมีคุณภาพสูง จึงจะให้ภาพที่แจ่มชัดเหมือนจริงไม่บิดเบี้ยวหลอกตา

ผ่านกรรมวิธีเคลือบ เงาด้วยเครื่องจักร 4 ขั้นตอนคือ

 

1)เครือบวัสดุเงิน(Silvery Coating)

2)เคลือวัสดุทองแดงบริสุทธิ์(Pure Copper Coating)

3)เคลือบวัสดุอย่างดีชั้นแรก(1 st Layer High Quality Colour Coating)

4)เคลือบวัสดุอย่างดีชั้นที่ 2(2 st Layer High Quality Colour Coating)

คุณสมบัติ

1)เหมาะสำหรับการตกแต่งภายใน โดยเฉพาะกระจกเงาใสซึ่งจะให้บรรยากาศภายในห้องที่สดใส

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายใน ทำให้มีบรรยากาศที่น่าสนใจ

2)หากจัดวางอย่างมีแบบแผน จะสามารถสะท้อนภาพของพื้นที่ได้หลายรูปแบบช่วยเพิ่มพื้นที่สายตาและลดความคับแคบของห้องได้

 

3.กระจกลวดลาย(Pattern Glass)

กระจกลวดลาย ผลิตโดยกระจกที่ยังไม่แข็งตัวเข้าไปสู่แถวของลูกกลิ้ง เพื่อให้ได้ความหนาที่ต้องการ และพิมลวดลายซึ่งติดกับ

ลูกกลิ้งลงบนผิวด้านใดด้านหนึ่งของกระจก หรือทั้ง 2 ด้าน

คุณสมบัติ

กระจกลวดลายมีคุณสมบัติโปร่งแสงแต่ไม่โปร่งใส จึงทำให้เกิดภาพที่นุ่มนวล แต่อาจไม่ชัดเจนนัก

 

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)เนื่องจากกระจกลวดลายมีความลึกของเนื้อกระจกไม่สม่ำสมเอกัน จึงไม่เหมาะที่จะนำมาผลิตเป็นกระจกนิภัยเทมเปอร์

2)ความแข็งแรงและความคงทนของกระจกมีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของกระจกใสที่มีความหนาเดียวกัน เนื่องจากความไม่เรียบของกระจก

 

3.กระจกเสริมลวด (Wired Glass)

กระจกเสริมลวดผลิตโดยการใส่แผงตาข่ายลวดลงในกระจกขณะที่กระจกหลอมเหลว เพื่อเป็นการเพิ่มการแข็งแรงให้กับกระจก

แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ตามลวดลายของแบบตาข่ายดังนี้

1)ลายข้าวหลามตัด(Diamond-Shaped Pattern or Misco)

2)ลายสี่เหลี่ยม(Baroque Pattern)

3)ลายหกเหลี่ยม(Hexagonal Pattern)

4)ลายแนวตั้ง(Pinstipe Pattern)

คุณสมบัติ

1)มีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ จึงมักใช้เป็นกระจกป้องกันการโจรกรรม

2)แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ มีความคม

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1)เนื่องจากกระจกเสริมลวดจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ที่มีความคม เหมาะสำหรับการใช้งานภายในอาคาร 

หรือในต่ำแหน่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อยู่อาศัยและคนทั่วไปได้

2)กระจกเสริมลวดเป็นกระจกที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการโจรกรรม ดังนั้นจึงไม่เน้นการออกแบบเพื่อความสวยงาม